วันจันทร์ที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2553

Interview : ต่อจิ๊กซอว์เมืองไทยผ่านวิสัยทัศน์ ธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล

“เด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว” วลีดังกล่าวคงครอบคลุมความเข้าใจในผลกระทบอันเป็นลูกโซ่ ณ เวลานี้ได้เป็นอย่างดี แม้ว่าภาวะสินเชื่อที่อยู่อาศัยด้อยคุณภาพหรือซับไพรม์ (Subprime) ในสหรัฐอเมริกาจะอยู่ไกลจากประเทศไทยกว่าครึ่งโลกก็ยังส่งผลกระทบต่อเนื่องไปทั่ว เช่นเดียวกับราคาน้ำมันในตลาดโลกซึ่งราคาพุ่งสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ ทำให้ทั้งโลกเกิดภาวะข้าวยากหมากแพง หรือสภาพแวดล้อมซึ่งเปลี่ยนแปลงไปสู่ความรุนแรงยังคืบคลานมาจ่อถึงประตูบ้านของสหภาพเมียนมาร์ ขณะที่วิกฤตศรัทธาในทางการเมืองของไทยส่งคลื่นกระแทกต่อภาวะเศรษฐกิจของประเทศ ฯลฯ

เมื่อสบโอกาสได้บุกห้องทำงานบนชั้น 16 อาคารจีพีเอฟ วิทยุ ของ ธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล จึงไถ่ถามความเห็นมาฝากคุณผู้อ่าน แม้ว่าบางคำถามอาจเป็นเรื่องเบาและไม่เกี่ยวข้องกับตำแหน่งเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) โดยตรง แต่จากวิสัยทัศน์ในฐานะบัณฑิตเศรษฐศาสตร์ B.Sc. (Econ.) จาก London School of Economics and Political Science มหาวิทยาลัยลอนดอน รวมถึงหลักสูตร Senior Managers in Government จาก John F. Kennedy School มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด บวกประสบการณ์ซึ่งสั่งสมมาอย่างยาวนานในชีวิตการทำงาน ณ ธนาคารแห่งประเทศไทย ในตำแหน่งรองผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ก่อนโบกมือลาวังบางขุนพรหมมาอยู่อาคารสูงประชิดสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกา ถนนวิทยุ ทำให้ทุกคำตอบต่อจิ๊กซอว์ให้เห็นภาพของเมืองไทยอันเกี่ยวเนื่องต่อกันทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคต

ไฮคลาส : มุมมองต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับประเทศไทยและโลกภายนอก

ถ้าเทียบกับวิกฤตเอเชียที่เกิดขึ้นเมื่อปี 2540 ขณะนี้เบากว่าเยอะ เพราะปีนั้นเกิดแรงกระแทกไม่ใช่เฉพาะกรณีของประเทศไทย แต่ลามไปยังประเทศในเอเชียหลายประเทศพร้อมกัน และเป็นวิกฤตซึ่งระบบการเงินของเราถูกกระทบมาก การปล่อยสินเชื่อจึงถูกกระทบไปหมด

แต่ครั้งนี้หากมองในมุมทางเศรษฐกิจ มันเกิดจากปัญหาเรื่องราคาน้ำมันและราคาอาหารเป็นหลัก ราคาน้ำมันนั้นมีลักษณะคล้ายเราถูกเก็บภาษีเถื่อน ถ้าปกติรัฐบาลไทยเก็บมันก็จะเอาไปสร้างประโยชน์ให้กับประเทศ แต่เที่ยวนี้ไม่ใช่ มันเป็นภาษีซึ่งรัฐบาลของประเทศที่ส่งออกน้ำมันเรียกเก็บ เท่ากับว่าเราเทเงินไปให้เขา กำลังซื้อของเราก็ลดลง ทำให้การจับจ่ายใช้สอยของเราลดลงไปด้วย แต่ว่ามันเป็นปัจจัยหนึ่งและเป็นเพียงส่วนหนึ่งของภาพรวมเศรษฐกิจ มันจึงไม่กระเทือนแรงเหมือนเมื่อปี 2540

ถ้าถามว่าวิกฤตขณะนี้รุนแรงไหม ผมคิดว่ายังไม่ถึงขั้นรุนแรง แต่ในแง่ผลกระทบต่อตลาดทุนตลาดหุ้นของไทย มันมีผลกระทบจากทางด้านการเมืองประกอบเข้ามาด้วย เมืองไทยเวลานี้โดนต่างประเทศมอง 2 เรื่อง เรื่องแรกคือผลกระทบจากแรงกดดันเรื่องราคาน้ำมัน อีกเรื่องคือด้านการเมือง ก็หวังว่าในส่วนแรก ผลกระทบจากราคาน้ำมันเราจะค่อยๆ ปรับตัวได้ ส่วนผลกระทบทางด้านการเมืองเราคงจะมีทางออกได้ดีขึ้นในไม่ช้า

ไฮคลาส : หากเปรียบเป็นการเดินข้ามสะพาน ตอนนี้เราข้ามไปถึงกลางสะพานและกำลังเดินลง หรือเพิ่งเดินขึ้นไปอยู่กลางสะพาน

ถ้ามองภาวะเศรษฐกิจขณะนี้ ความเสี่ยงของเศรษฐกิจโลกผมคิดว่าปีนี้ยังไม่เสี่ยงเต็มที่ ความเสี่ยงจะเกิดมากขึ้นในปีหน้า 2552 และอาจจะต่อเนื่องไปถึงปี 2553 เพราะผมคิดว่าราคาน้ำมันถ้ายังคงอยู่ในระดับสูงอย่างนี้มันจะทำให้กำลังซื้อลดลง ไม่เฉพาะในประเทศไทยแต่รวมถึงประเทศอื่นทั่วโลก

เมื่อกำลังซื้อลดลงสิ่งที่จะเกิดขึ้นก็คือกำลังในการนำเข้าสินค้าจากประเทศแถบเอเชียก็จะลดลงไป นอกจากนี้ เมื่อตอนราคาน้ำมันพุ่งขึ้นสูงเมื่อ 15-16 ปีที่แล้ว สิ่งที่เห็นประการหนึ่งก็คือการสั่งซื้อสินค้าของประเทศพัฒนาแล้ว แทนที่จะซื้อจากประเทศที่อยู่ห่างไกลเนื่องจากต้นทุนในเรื่องการขนส่งมีสัดส่วนสูงขึ้น กลายเป็นว่าประเทศเหล่านี้ก็หดตัวมาซื้อประเทศที่ใกล้มากขึ้น เห็นได้จากกรณีของสหรัฐอเมริกา สัดส่วนนำเข้าจากประเทศในเอเชียลดลง แล้วสัดส่วนนำเข้าจากประเทศลาตินอเมริกาเพิ่มขึ้น สำหรับประเทศในยุโรปผมเชื่อว่าแนวโน้มก็จะเป็นการลดสัดส่วนนำเข้าจากเอเชีย แล้วไปเพิ่มการนำเข้าจากประเทศในยุโรปตะวันออกซึ่งเป็นประเทศพัฒนาใหม่แทน ตรงนี้เป็นการปรับตัวที่ผมคิดว่ากำลังในการค้าขายของประเทศในเอเชียมันอ่อนตัวลง

คำถามก็คือมันจะอ่อนตัวลงมากน้อยแค่ไหน อย่างไร ถ้าเราดูผลกระทบและความเสี่ยงที่เกิดขึ้น ผมเชื่อว่าเรายังไม่ได้อยู่ในจุดสูงสุดของสะพาน จุดสูงสุดของสะพานเราอาจจะเห็นในปีหน้า และถ้าการปรับตัวของประเทศพัฒนาแล้ว G3 ประเทศใหญ่สุด 3 อันดับของโลก (สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และเยอรมนี) ไม่ดี ผลกระทบของเราจะมีมาก แต่ถ้าเขาค่อยๆ ปรับตัวได้ดีผลกระทบก็จะมีน้อย เรายังไม่ถึงจุดสูงสุดของสะพาน แต่จุดสูงสุดของสะพานอาจจะไม่สูงไปกว่านี้มากนัก ขึ้นอยู่กับการปรับตัวของทุกคนที่เกี่ยวข้อง

ไฮคลาส : แล้วปีหน้าสะพานจะชำรุดไหม

ปีหน้าสะพานจะชำรุดหรือไม่...สำหรับผมคิดว่าการปรับตัวมันเกิดขึ้นอยู่แล้ว มนุษย์เรามีความชำนาญในการปรับตัว ผมยกตัวอย่างเช่นกรณีราคาน้ำมันที่แพงขึ้น ถ้าเราไปในยุโรป ผมนั่งรถไฟจากสนามบินในมิวนิคเข้าสู่เมืองใช้เวลาประมาณ 30 นาที ผ่านประมาณสิบกว่าสถานี ทุกสถานีที่อยู่ชานเมืองจะมีที่จอด ไม่ใช่ที่จอดรถยนต์ แต่เดี๋ยวนี้เป็นที่จอดรถจักรยาน มีซองมีที่ล็อคและมีหลังคาอย่างดี นอกจากนี้ถ้าเราไปในเมืองใหญ่ๆ ในยุโรปเวลานี้ การเดินต้องระวังเพราะว่าบนทางเท้าจะมีที่สำหรับขี่จักรยาน ประชาชนไปไหนมาไหนโดยใช้จักรยานมาก ตามร้านในยุโรปจะมีป้ายโฆษณาตั้งอยู่หน้าร้าน และที่ประกอบกับป้ายโฆษณาก็มีที่เสียบล้อสำหรับล็อคจักรยาน นอกจากนี้บางเมืองมีจักรยานของเทศบาลซึ่งใครจะขี่ก็ได้ ขี่จากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่ง เมื่อถึงแล้วก็จอดทิ้งไว้ใครจะมาใช้ต่อก็เชิญ จึงบอกได้ว่าลักษณะการปรับตัวมันเกิดขึ้นอยู่เสมอ

ถ้าเราดูอัตราการเพิ่มของการใช้น้ำมันในประเทศพัฒนาแล้วเวลานี้ อัตราการเพิ่มชะลอตัวลงมากเลย มีแต่ประเทศกำลังพัฒนานี่แหละ โดยเฉพาะประเทศจีน อินเดียซึ่งยังใช้มาก ผมคิดว่าทุกคนเมื่อค่อยๆ ปรับตัวแล้วทุกอย่างก็จะค่อยๆ เข้าที่

ไฮคลาส : ก.ล.ต.วางแผนรับมือกับสถานการณ์ปัจจุบันและในอนาคตอย่างไร

ในแง่ขององค์กร จุดแรกก็คือขณะนี้การที่ราคาน้ำมันแพงขึ้นและค่าครองชีพสูงขึ้น ทำให้พนักงานระดับชั้นผู้น้อยของเรา (ก.ล.ต.) ได้รับผลกระทบ เพราะฉะนั้นเราจึงปรับค่าครองชีพให้กับพนักงานชั้นผู้น้อยไปแล้ว นั่นคือส่วนที่เป็นการเยียวยา

ในแง่ของการมองภาพรวมเชิงนโยบายว่าเรามีวิธีการที่จะทำอะไรได้ ตอนนี้อาชีพหลักของเราคือการกำกับดูแลตลาดทุน เราคิดว่าสิ่งที่เราทำได้ดีที่สุดในขณะนี้ก็คือต้องสร้างความเชื่อมั่นในตลาดทุน โดยมองจากแง่มุมอื่นนอกเหนือจากในเรื่องของผลกระทบจากน้ำมัน ในแง่ของความเชื่อมั่นจากการบริหารจัดการที่ดี ความเชื่อมั่นในเรื่องของการทำธุรกิจที่เป็นธรรม ความเชื่อมั่นในการซื้อขายหลักทรัพย์ที่เป็นระเบียบเรียบร้อย และการพัฒนาในเรื่องของกระบวนการจัดการต่างๆ ซึ่งเราทำมาโดยต่อเนื่อง เราก็จะทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ พูดง่ายๆ ว่าในขณะนี้มันอาจจะมีภาพที่ติดลบ ซึ่งนักลงทุนทั้งในประเทศหรือต่างประเทศอาจมองตลาดทุนว่ามีภาพที่ติดลบอยู่ในบางจุด เช่น ในจุดที่มาจากเรื่องราคาน้ำมัน จุดที่เป็นเรื่องกำลังซื้อกำลังจับจ่ายใช้สอยของประชาชนที่อ่อนตัวลง ในระหว่างที่ 2 ตัวนี้กำลังจะปรับตัว เราก็ต้องทำด้านอื่นๆ ให้ดีขึ้นมา ทำให้พร้อมเข้าไว้ เมื่อไหร่ที่ปัญหาคลี่คลายความเชื่อมั่นโดยรวมก็จะดีขึ้น

สำหรับคนทั่วไป ผมอยากให้ถือตรงนี้เป็นโอกาสในการปรับตัว อย่างแรกคือสร้างจิตสำนึกในการประหยัดพลังงานและทรัพยากรธรรมชาติทั้งหลาย ประการแรกก็คงจะต้องเลิกใช้พลังงานที่ไม่จำเป็น การใช้ไฟฟ้าในห้องที่ไม่จำเป็น การเปิดไฟหลายห้องก็พยายามมารวมกันห้องเดียว การวางแผนการเดินทาง โดยตัดการเดินทางที่ไม่จำเป็นออกไป เดินทางโดยพยายามรวมศูนย์รวมคนในลักษณะ Pooling ก็ต้องทำให้เกิดมากขึ้น นอกจากนี้พวกเครื่องมือเครื่องจักรเครื่องใช้ต่างๆ ของเราก็ถึงเวลาที่ทุกๆ คนที่เกี่ยวข้องต้องหาทางปรับปรุงและลงทุน อาจต้องใช้เครื่องมือเครื่องจักรซึ่งประหยัดพลังงานมากขึ้น ในเรื่องของประสิทธิภาพการใช้ เครื่องที่มันหลวม เครื่องที่มันเก่าก็ต้องคิดแล้ว สมัยก่อนอาจจะไม่คุ้มในการเปลี่ยน แต่ต่อไปนี้จะต้องคุ้ม

การมีชีวิตอยู่ในแต่ละวันของเราต้องพยายามตระหนักและคำนึงถึงเรื่องนี้ ผมเองก็ยังคิดว่าการนำกลับมาใช้ใหม่ การรีไซเคิลควรจะเป็นกระบวนการที่หากเป็นได้ ผมอยากให้สังคมช่วยกันคิดอ่านการทำเรื่องเหล่านี้ ที่อยากเล่าให้ฟังคือยุโรปเน้นเรื่องนี้มาก ฉะนั้นสินค้าที่จะนำเข้าไปในยุโรป กระบวนการเมื่อสินค้าเลิกใช้แล้วจะนำไปกำจัดกากกำจัดซากอย่างไรจะต้องมีแผนที่ชัดเจน การรีไซเคิลในยุโรปอย่างเช่นน้ำมันประกอบอาหารที่ใช้แล้วสามารถนำมาใช้เป็นไบโอดีเซลได้ ในเมืองไทยอาจจะเน้นเฉพาะน้ำมันที่ใช้ในโรงงานใหญ่เช่น น้ำมันที่ใช้ทอดบะหมี่ในโรงงานบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป แต่ในต่างประเทศมันกระจายไปจนถึงระดับชาวบ้าน ตรงที่ว่าบ้านไหนในแต่ละวันพอใช้แล้วก็จะเทใส่ขวดไว้ พอเต็มขวดแล้วกระบวนการเก็บขยะเขาจะมีขวดเปล่ามาแทนขวดที่เราใส่น้ำมันที่ใช้แล้ว ตรงนี้เป็นความจำเป็นที่เราจะต้องคิดอ่านเรื่องเหล่านี้ ถ้าเราสามารถประสานงานและจัดการขึ้นมาได้โดยเฉพาะในชุมชนเมือง น่าจะถือว่าเป็นโอกาสที่ดีที่เราจะทำให้วิกฤตนั้นเป็นโอกาส

ไฮคลาส : อยากให้ช่วยขยายความถึงโอกาสในวิกฤต

ดังที่ผมพูดถึงว่าเราควรใช้วิกฤตนี้ในการปรับพฤติกรรม โอกาสที่จะเห็นได้ชัดในเชิงธุรกิจจากนี้ไปคือธุรกิจซึ่งช่วยในการประหยัดพลังงาน ธุรกิจที่ช่วยในการรีไซเคิลวัตถุต่างๆ ผมคิดว่าจะต้องมีแน่นอน เพราะฉะนั้นธุรกิจที่เรียกว่า Waste Management คือเรื่องของการบริหารจัดการขยะ ผมคิดว่าเป็นธุรกิจที่มีอนาคต เท่าที่ดูในหลายประเทศที่พัฒนาแล้ว ลักษณะของการดูแลการจัดการขยะจะมีความก้าวหน้ามาก ไม่ใช่เฉพาะเอาไปเผานะ แต่หลายแห่งสามารถนำขยะอินทรีย์ไปฝังกลบโดยมีกระบวนการที่ดีมาก โดยการแทรกท่อเพื่อให้หลังจากฝังกลบ บ่มแล้วเกิดก๊าซมีเทนซึ่งสามารถนำมาอัดใช้เพื่อการหุงต้ม ผมเคยเห็นว่ามีการออกแบบลักษณะการบริหารขยะที่ออกแบบจากอินเดียเหมือนกับเป็นถังไฟเบอร์ โดยเขานำมูลคนและมูลสัตว์แต่ละวันไปใส่ เมื่อบ่มแล้วเกิดก๊าซมีเทนต่อท่อเข้าไปใช้ในหมู่บ้านเป็นก๊าซหุงต้มได้ ผมถือว่านี่ก็เป็นโอกาส

นอกจากนั้นผมเห็นว่าเป็นโอกาสที่เราจะต้องบริหารความเสี่ยง เพราะลักษณะของการเปลี่ยนแปลงในภาวะเศรษฐกิจของโลก และการเปลี่ยนแปลงในปัญหาระบบการเงินในสหรัฐ ซึ่งขณะนี้ปัญหาซับไพรม์ก็ยังไม่ฟื้นตัวสักที ผมมองว่าสิ่งที่สำคัญในขณะนี้ประการหนึ่งคือการวางแผนสร้างหนี้ เป็นเรื่องสำคัญมากเลย ในการจับจ่ายใช้สอยรูดเครดิตการ์ดต่างๆ และการสร้างหนี้ในทางธุรกิจต้องคิดวางแผนเผื่อไว้ อย่าไปเล็งผลเลิศ อย่าไปมองว่าเหตุการณ์แบบนี้เราต้องเหยียบคันเร่งกันเต็มที่ มันต้องดำเนินการด้วยความระมัดระวัง ถ้าจะว่าไป บอกว่าเป็นโอกาสก็ไม่ใช่ แต่น่าจะเป็นโอกาสในการบริหารความเสี่ยงด้วยความระมัดระวังมากยิ่งขึ้น

ไฮคลาส : แล้วตัวคุณเองได้ปรับเปลี่ยนอะไรไปแล้วบ้าง

สำหรับตัวผมเอง ผมคิดว่าสถานการณ์แบบนี้เราต้องมองชีวิตเราในลักษณะพอเพียงมากขึ้นกว่าเดิม เพราะฉะนั้นการวางแผนในการจับจ่ายใช้สอย เมื่อเรารู้ว่าค่าใช้จ่ายบางอย่างมันลดไม่ได้ ดังนั้นการจับจ่ายในเรื่องที่ไม่จำเป็นเราต้องพยายามดึงเอาไว้ พยายามลด และเน้นเฉพาะเรื่องที่จำเป็น ตรงนี้เป็นวิธีการปรับตัวในส่วนตัวของผม อีกอันหนึ่งคือพยายามสร้างจิตสำนึกในการประหยัด ไม่ใช่เฉพาะในเรื่องค่าใช้จ่ายแต่รวมถึงเรื่องการเป็นพลเมืองที่ดีของโลก ในการประหยัดพลังงาน และการประหยัดทรัพยากรธรรมชาติต่างๆ

ไฮคลาส : รวมถึงการใช้บริการรถสาธารณะ

แน่นอนเลยครับ บ้านผมอยู่ลาดพร้าว ซึ่งย่านนั้นรถไฟฟ้ายังไปไม่ถึง ซึ่งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถ้าผมอยู่ในจุดที่ผมใช้ระบบขนส่งมวลชนได้ผมก็จะใช้ ไม่ใช่เฉพาะรถไฟฟ้านะ ที่ผ่านมาในบางจุดที่ผมขึ้นรถเมล์ได้ผมก็ขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลามาทำงานแล้วต้องเดินทางระยะสั้นก็สามารถไปได้

ย่านบ้านผมเนื่องจากยังไม่มีการดึงคนมาสู่ระบบขนส่งมวลชนรถไฟฟ้าได้ง่าย และในลักษณะการทำงานของผมนั้นต้องเดินทางไปประชุมหลายที่ ฉะนั้นถ้าผมออกจากบ้านโดยไม่ใช้รถยนต์มันจะลำบาก ผมจึงจำเป็นต้องนำรถออกมา แต่เมื่อมาถึงออฟฟิศแล้วถ้าต้องไปไหนใกล้ๆ ผมมักเดินทางโดยใช้ขนส่งมวลชนถ้าสามารถไปได้นะ อันนี้เป็นนิสัยตั้งแต่ทำงานอยู่ธนาคารแห่งประเทศไทยแล้ว ออกไปทานข้าวกลางวันบางทีผมก็นั่งรถเมล์ไปแล้วก็นั่งรถเมล์กลับ เป็นรถเมล์ร้อนด้วยนะ นั่งไปแถวศรีย่าน โรงพยาบาลวชิระ หรือไม่ก็บางลำพู สิ่งเหล่านี้ผมทำมาตั้งนานแล้ว เป็นความเคยชินของเราเพราะเรานั่งรถเมล์ช่วงกลางวันสะดวกกว่า

ไฮคลาส : ถ้าเช่นนั้นพอมาอยู่ ก.ล.ต. ต้องไปประชุมที่ตลาดหลักทรัพย์คุณคงใช้รถไฟฟ้าใต้ดิน

ขณะนี้ยังไม่ง่ายเพราะกว่าจะเดินไปและกว่าจะเดินมายังค่อนข้างลำบาก ขณะนี้ระบบขนส่งมวลชนในกรุงเทพฯ ยังไม่เชื่อมกันอย่างเต็มที่ เราต้องยอมรับว่าคงต้องรออีก

ไฮคลาส : ในระยะยาว คิดว่า ก.ล.ต.จะมีส่วนสำคัญอย่างไรในการพัฒนาตลาดทุนเมืองไทยไปในทางที่ดีขึ้น

หน้าที่หลักของ ก.ล.ต.มีสองด้าน ด้านหนึ่งเราทำตัวเหมือนตำรวจ ควบคุมดูแลกิจกรรมในตลาดทุน ซึ่งตรงนั้นเราต้องทำโดยการออกกฎระเบียบแล้วมอนิเตอร์ตรวจสอบ ติดตาม และลงโทษ ตรงนั้นเป็นสิ่งที่เราทำอย่างแข็งขัน ซึ่งเราจะทำอย่างแข็งขันต่อเนื่องไปเรื่อยๆ ที่ผ่านมาเราไม่ได้ทำแข็งขันตามมาตรฐานของเราอย่างเดียวนะ เรามีการประเมินโดยองค์กรต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) และธนาคารโลก (World Bank) ว่ามาตรฐานของเราออกมาแล้วดีใช้ได้ ได้มีการประเมินในช่วงปีสองปีที่ผ่านมาซึ่งดีมาก และประเมินในหลายๆ ด้าน

อาชีพหลักอีกด้านคือการพัฒนา การวางแผนที่จะมองว่าอนาคตข้างหน้า ตลาดทุนของไทยควรจะอยู่ตรงไหน ไปเชื่อมกับตลาดทุนโลกอย่างไร และกฎระเบียบของเราควรจะมีการแก้ไขอย่างไร ปรับปรุงอย่างไรเพื่อรองรับสิ่งเหล่านี้ นั่นคือสิ่งที่เรากำลังทำอยู่ คือการวางแผนสำหรับอนาคต

ไฮคลาส : แล้วจะมีอาชีพเสริมเพิ่มเข้ามาอีกไหม

ขณะนี้ทาง ก.ล.ต.โดยตำแหน่งเลขาธิการได้เข้าไปเป็นกรรมการในการติดตามภาวะเศรษฐกิจของกระทรวงการคลัง นี่ก็เป็นครั้งแรก เพิ่งจะเข้าไปเมื่อ 3-4 เดือนที่ผ่านมา เพราะฉะนั้นเป็นครั้งแรกที่ ก.ล.ต.จะต้องติดตามภาวะเศรษฐกิจโดยรวมเอามาประกอบด้วย

ไฮคลาส : เอามาทำอะไรได้บ้างในบทบาทของก.ล.ต.

อย่างน้อยเราต้องมีการบรรยายและติดตามภาวะตลาดทุน รายงานให้คณะกรรมการนี้ได้ทราบว่าในส่วนจิ๊กซอว์ของเศรษฐกิจประเทศไทย ซึ่งส่วนหนึ่งก็จะมีตลาดทุนเป็นจิ๊กซอว์อันหนึ่ง ขณะนั้นมันมีประเด็นข้อคิดและข้อพิจารณาใดบ้างที่จะเสนอให้คณะกรรมการได้ทราบ ขณะเดียวกันในการประชุมเราก็จะได้รับทราบถึงความเคลื่อนไหวในเศรษฐกิจระดับมหภาคของประเทศจากภาคอื่นที่สำคัญ คือจากทางธนาคารแห่งประเทศไทย จากสภาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ จากกระทรวงการคลังเรื่องงบประมาณ เอามาประกอบ เราเองก็จะได้นำมาใช้ในการคิดอ่านเพื่อการวางแผนของเรา นี่เป็นโจทย์เสริมที่เพิ่งจะเติมเข้ามา

ไฮคลาส : เนื่องจากไฮคลาสเป็นนิตยสารไลฟ์สไตล์ ไม่ใช่นิตยสารธุรกิจ เศรษฐกิจ ขอถามอย่างคนไม่รู้ว่าคน ก.ล.ต.ที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์สามารถเล่นหุ้นได้ไหม หรือให้ญาติ ภรรยาหรือลูกเล่นได้ไหม

ไม่ได้ครับ

ไฮคลาส : ครอบคลุมแค่ไหน ถึงเจ็ดชั่วโคตรเลยหรือเปล่า

ทาง ก.ล.ต.เองเรามีข้อห้าม และให้ทำรายงาน ในรายงานนั้นคือ Immediate Plan เอามารวมไว้ในรายงานด้วย ต้องยอมรับว่าในรายงานนี้ถ้าจะว่าไป หากคนเลี่ยงไม่รายงานเขาอาจใช้ให้คนนู้นคนนี้ถือแทนก็อาจจะเป็นได้ แต่ว่าทางเราเองในการเข้าไปตรวจสอบบริษัทโบรกเกอร์เราจะดูรายละเอียดด้วย ถ้ามีคนเล่นที่ดูแล้วน่าสงสัย ว่าทำไมคนนี้เล่นแล้วได้ข้อมูลหรือเข้าไปซื้อหุ้นในบริษัทนี้บริษัทนั้นในลักษณะก่อนที่ข่าวจะออก เราก็จะต้องดึงออกมาดู พูดง่ายๆ ว่าตลาดฯ ในเวลานี้เขามีระบบคอยตามการเปลี่ยนแปลง แล้วสมมติหุ้นใดหุ้นหนึ่งอยู่ดีๆ มีข่าวในทางบวก แล้วราคาหุ้นก็วิ่งขึ้น สิ่งแรกที่เขาต้องทำก็คือไปดูว่าก่อนหน้านั้นมีใครซื้อรึเปล่า ถ้ามีคนซื้อเยอะเขาก็จะเข้าไปดูว่าคนนั้นเป็นใคร ทำนองเดียวกันถ้าวันหนึ่งหุ้นใดหุ้นหนึ่งมีข่าวในทางลบ แล้วราคาร่วง เขาก็จะไปดูว่าก่อนหน้านั้นมีใครขายรึเปล่า เป็นการดูจากหุ้น ฉะนั้นถ้ามีใครเอาข้อมูลภายในไปใช้ก็ทำให้มั่นใจได้ว่าเรารู้เกี่ยวกับบริษัทนั้นในทางบวกหรือในทางลบก่อนคนอื่น

ไฮคลาส : แล้วถ้าใครคนนั้นเป็นระดับที่เรียกว่า “ขาใหญ่”

ต้องอธิบายให้คนเล่นหุ้นเข้าใจ ซึ่งผมคิดว่าคนอ่านนิตยสารไฮคลาสจำนวนหนึ่งเป็นนักเล่นหุ้น และไฮคลาสหลายคนอาจจะไฮเนตเวิร์ค เพราะฉะนั้นพอมีสตางค์อาจจะไม่ได้เล่นหุ้นโดยตรง แต่เป็นลักษณะของการลงทุนผ่านกองทุนรวม ผ่านกระบวนการออมหลายๆ แบบ แต่ว่าหลักของการซื้อขายในลักษณะที่เรียกว่า “ขาใหญ่” เราจะเข้าไปแทรกแซงได้มากน้อยแค่ไหน เป็นจุดที่ต้องระมัดระวังให้ดี

ไฮคลาส : เพราะกลัวว่าจะถูกฟ้อง...

ไม่ใช่ว่ากลัวจะโดนฟ้อง แต่สมมติเกิดการซื้อขายนั้นเป็นการซื้อขายโดยคนที่เป็นขาใหญ่ ซึ่งเขาก็เป็นนักเล่นหุ้นใหญ่ แต่เขาไม่ได้ใช้ข้อมูลภายใน และเขาก็ซื้อขายโดยการมองควบคู่ไปกับคนอื่นในลักษณะที่ดูแล้วว่าช่วงนี้ไอ้ตรงนี้น่าจะดี ช่วงนี้มีปัญหาเรื่องพลังงาน เพราะฉะนั้นบริษัทที่ใช้พลังงานมากราคาน่าจะตก สมมติเป็นการมองแบบนี้แล้วเราจะไปเอาผิดก็ค่อนข้างจะไม่เป็นธรรม

คนเล่นหุ้นที่เป็นขาใหญ่กับคนเล่นหุ้นที่เล่นลักษณะเก็งกำไรและใช้ข้อมูลสาธารณะทั่วไป ต่อให้ซื้อขายมากก็เป็นสิ่งที่ถูกต้อง เป็นสิ่งที่เราควรจะเปิดโอกาสให้เขาทำได้ สิ่งที่ไม่ถูกต้องก็คือการใช้ข้อมูลภายใน

การใช้ข้อมูลภายในก็คือซื้อก่อนคนอื่นแล้วข่าวออก หรือคนที่ขายก่อนคนอื่นแล้วข่าวออก ส่วนใหญ่มักตามเจอเพราะสามารถมองเห็นการเคลื่อนไหวของราคาและโยงไปได้ว่าเขาเกี่ยวข้องกับคนที่อยู่ภายในหรือไม่ แต่ที่ยากก็คือคนที่ไปซื้อหุ้นใดหุ้นหนึ่งแล้วหลายๆ คนไปซื้อแล้วราคาหุ้นมันวิ่ง...อย่าไปเอ่ยชื่อก็แล้วกันนะเดี๋ยวจะไปผูกโยงซะเปล่า (หัวเราะ) มันจะมีปัญหาว่าสมัยก่อนเราจะเจอกรณีที่เราสามารถลงโทษได้เพราะเราเห็น กรณีที่มีเงินจากเสี่ยคนหนึ่งไปยืมชื่อคนนู้นคนนี้เป็นนอมินีในการขาย เงินไหลจากบัญชีนี้ไปบัญชีโน้นแล้วบัญชีที่ได้รับก็สั่งซื้อขายต่อไป เงินไหลกลับไปกลับมา อย่างนี้เราส่งตำรวจดำเนินคดี ถึงแม้จะดำเนินคดีตามนี้แต่ที่ผ่านมายังเอาผิดไม่ได้นะ แต่ว่าอย่างไรก็ตาม แหล่งเงินที่ไหลออกไหลเข้าจากบัญชีหนึ่งออกไปแล้วไปใช้ชื่อคนนู้นคนนี้ เป็นอาการที่ชัด เราต้องส่งดำเนินคดี แต่ถ้าเป็นกรณีที่คนนี้ก็มีสตางค์ คนนั้นก็มีสตางค์ แล้วต่างคนต่าง...โดยนัดกันรึเปล่าก็ไม่รู้นะ ทำให้ราคามันขึ้น เสร็จแล้วสตางค์ไม่ได้ไหลจากบัญชีนี้มาอีกบัญชี ซื้อเสร็จแล้วกำไรหรือขาดทุนก็อยู่ในบัญชีของตัวเอง การจะไปเอาผิดเราต้องสืบให้ได้ว่าการซื้อนั้นเป็นการนัดแนะ ซึ่งเป็นการสืบที่ยากมาก เพราะฉะนั้นถ้าจะบอกว่าเราจะสืบได้ต้องส่งคนไปฝังตัว คอยดักฟังโทรศัพท์ คอยดูพฤติกรรมว่าเขานัดเจอกันที่ไหน ซึ่งผมคิดว่าไปไกลเกินเหตุ ต้องยอมรับว่าลักษณะแบบนี้ยาก

ฉะนั้นการที่เราจะซื้อขายหุ้น เราต้องมองว่าเราจะเล่นหุ้นในกลุ่มไหน ถ้าเราเล่นหุ้นในกลุ่มซึ่งเป็นหุ้นที่มีขนาดใหญ่ ปัจจัยพื้นฐานดี ส่วนใหญ่พวกนี้ต่อให้คนมาซื้อรุมกันราคาจะไม่เคลื่อนไหวมาก เช่นหุ้น 10 ตัวแรก 50 ตัวแรก ลักษณะอย่างนั้นจะเป็นหุ้นที่มีการปั่นได้ยากมาก แต่กลุ่มที่ไปเล่นหุ้นเล็กๆ ตามข่าว หรือนักลงทุนรายย่อย ผมคิดว่าเล่นแบบนี้อันตรายมาก จริงๆ ผมอยากสนับสนุนให้เล่นหุ้นกลุ่มใหญ่ ถ้าไปเล่นหุ้นกลุ่มเล็กก็ได้แต่จะต้องระวังให้มาก อย่าไปเล่นตามแห่ อย่าไปเล่นตามข้อมูลที่ฟังมาอย่างเดียว ถ้าจะเล่นหุ้นกลุ่มเล็กผมอยากแนะนำให้เล่นผ่านกระบวนการจัดการโดยมีผู้จัดการในลักษณะลงทุนในกองทุนรวม ซึ่งเขาลงทุนกระจาย แล้วจะมีหุ้นกลุ่มใหญ่บ้างเล็กบ้าง แต่ถ้ากังวลเกี่ยวกับการปั่นหุ้นหรือการเข้าไปสร้างราคา ก็อยากแนะให้เน้นเฉพาะหุ้นกลุ่มใหญ่ๆ จะไม่มีความเสี่ยง

ไฮคลาส : แล้วมาตรการเกี่ยวกับดอกเบี้ยที่ปรับขึ้นเพื่อต้องการให้ลดปัญหาทางเศรษฐกิจ ผลกระทบที่จะมาสู่ตลาดทุนจะเป็นอย่างไร

ขณะที่ผมให้สัมภาษณ์อยู่นี้ กำลังมีการเถียงกันอยู่ว่าควรจะขึ้นดอกเบี้ยหรือไม่ แน่นอนว่าถ้าหากขึ้นดอกเบี้ย ผลกระทบต่อตลาดทุนจะเป็นไปในทางลบ เพราะจะเพิ่มต้นทุนของคนค้าขายหุ้น และจะไปเพิ่มต้นทุนให้กับบริษัทที่อยู่ในตลาด กำไรเขาจะลดลงนิดหน่อย แต่ถามว่ามากไหมอาจจะไม่มาก ถ้าขึ้นดอกเบี้ยแต่ขณะเดียวกันปัจจัยอื่นเป็นบวก เช่นราคาน้ำมันอาจจะเริ่มลดลง หรือการเมืองเกิดความชัดเจนมากขึ้น จะทำให้การปรับดอกเบี้ยเป็นเรื่องเล็กน้อยไป ดังนั้นการปรับขึ้นดอกเบี้ยก็ต้องยอมรับว่า ต้องกระทบต่อตลาดทุนไม่มากก็น้อย แต่ไม่ใช่ปัจจัยใหญ่

ไฮคลาส : ความรับผิดชอบในหน้าที่การงานล้นมือ แต่คุณยังดูหนุ่ม แสดงว่าต้องเป็นคนที่ดูแลบุคลิกรูปร่างตัวเองอย่างดี

(หัวเราะ) ด้านการดูแลตัวเอง ผมคิดว่าปัจจัยหลักที่สุดเลยคือจิตใจ ถ้าเรามีจิตใจที่ไม่คอยแต่จะประสงค์ร้าย โกรธง่าย หรือมีความแค้น จิตใจของเราอยู่ในลักษณะบวก ผมว่าช่วยได้เยอะ ภาพลักษณ์ที่คนภายนอกมองเห็นเราก็จะมีความรู้สึกสบายใจ

ไฮคลาส : จากภายนอกผมว่าคุณน่าจะอายุ 51-52

ผมน่ะ 57 แล้ว ไม่ได้ใช้เครื่องสำอางอะไรเลย เท่าที่มีก็ผลิตภัณฑ์ของพี่สาว (ภารดี ภูวนาถนรานุบาล) เอามาใช้ แต่กุญแจสำคัญอยู่ที่จิตใจ

ไฮคลาส : สิ่งหนึ่งที่ช่วยกล่อมเกลาจิตใจของคุณคือหนังสือหรือเปล่า เห็นห้องทำงานคุณมีหนังสือเยอะ หนึ่งในนั้นคือชุดหนังสือสามก๊กด้วย อยากทราบว่าอ่านจบไปแล้วกี่รอบ

ผมอ่านจบแค่รอบเดียวเอง (เน้นเสียงพร้อมหัวเราะ) อ่านแล้วและลืมบ้างแล้ว ที่ตลกมากก็คือคนส่วนใหญ่มักมีความรู้สึกว่าขบวนการในสามก๊กอย่างขงเบ้ง จูล่ง ฯลฯ ออกแรงหนักมากเพื่อดูแลเล่าปี่ สุดท้ายแล้วรุ่นลูกเล่าปี่ห่วยมาก นี่คือข้อคิดที่จำได้ อ่านแล้วเหนื่อยใจแทนเลยว่าเขาสู้เพื่อเล่าปี่สารพัด แล้วยังจะต้องปกป้องลูกเล่าปี่ เสียเลือดเสียเนื้อไปมากมาย...สุดท้ายก็เห็นได้ชัดว่ามันไม่เอาไหนเลย

***โค้ดคำ***

“ความเสี่ยงของเศรษฐกิจโลกผมคิดว่าปีนี้ยังไม่เสี่ยงเต็มที่ ความเสี่ยงจะเกิดมากขึ้นในปีหน้า 2552 และอาจจะต่อเนื่องไปถึงปี 2553”

“โอกาสที่จะเห็นได้ชัดในเชิงธุรกิจจากนี้ไปคือธุรกิจซึ่งช่วยในการประหยัดพลังงาน ธุรกิจที่ช่วยในการรีไซเคิลวัตถุต่างๆ”

“ถ้าเรามีจิตใจที่ไม่คอยแต่จะประสงค์ร้าย โกรธง่าย หรือมีความแค้น จิตใจของเราอยู่ในลักษณะบวก ผมว่าช่วยได้เยอะ”

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น